
แต่ก่อนหน้านั้นได้มีการลองผิดลองถูก ทดลองเพาะพันธ์เชอร์รี่มาหลายเดือน หลายคนบอกว่าให้ไปซื้อต้นเชอร์รี่ตามร้านขายต้นไม้มาปลูกดีกว่า ราคาตามขนาด เริ่มต้นตั้งแต่ 50 บาท (ต้นเล็กสุด) ถึงหลายร้อยบาท พอดีข้างบ้านซื้อต้นเชอร์รี่ขนาดใหญ่มาปลูกได้ไม่นาน ก็มีลูกแดงสดสวยมาก นัยว่าเป็นพันธ์สเปน เพราะผลมีกลีบร่องรอบ ๆ คล้ายมะยม (แต่ป้าบอกว่าเป็นพันธ์มะพร้าว) ติดผลตอนแรกสีเขียว เปลี่ยนเป็นเหลือง ส้ม และแดง เมื่อสุกเต็มที่จะเป็นสีแดงจัด รสชาติอมเปรี้ยวจนเกือบหวาน แต่ปรากฏว่าพอเจอลมฝนเข้าไปก็ทำท่าจะโค่นล้ม ต้องทำค้ำยันใหม่ เคยได้ยินว่าหากจะให้ต้นไม้แข็งแรง จะต้องปลูกด้วยเมล็ดเพราะจะมีรากแก้วทำให้ต้นแข็งแรงไม่ล้มง่าย ป้าข้างบ้านเลยแนะนำว่าให้เก็บลูกเชอร์รี่ไปลองเพาะดู และนี่จึงเป็นจุดสนใจให้อยากลองเพาะต้นเชอร์รี่ดู จากการค้นคว้าในอินเตอร์เน็ตพบว่ามีวิธการเพาะได้หลายวิธี แต่ละวิธีก็มีข้องดีขข้อเสียต่างๆ กัน ประมาณว่า
- การเพาะเมล็ด ตามแบบฉบับดั้งเดิมในการขยายพันธ์พืชทั่วไป แต่เชอร์รี่เป็นไม้เมืองหนาว ต้องการระยะเวลาบ่ม-ฟักตัวข้ามฤดูหนาว หลายคนจึงแนะว่าให้นำเมล็ดเชอร์รี่ไปแช่ตู้เย็นก่อน หาทางอยู่นานก็ไม่ประสบผลสำเร็จ คนขายต้นไม้หัวเราะและบอกว่าเพาะเมล็ดนั้นยากมาก โอกาสหนึ่งในร้อยยังยาก เราเพาะไป 150 เมล็ดยังไม่สำเร็จเลย เขาบอกว่าหากเพาะเมล็ดได้จะดีมากเพราะจะไม่กลายพันธ์ ต้นจะมีรากแก้วไม่โค่นล้มง่าย
- การตอน เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมในอดีต แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่คนไม่อยากทำก็คือ ต้องใช้เวลานาน ต้องเลือกกิ่งที่แก่เหมาะสม ทำให้หนึ่งต้น จะตอนได้ไม่กี่กิ่ง ผู้้เพาะพันธ์พืชจึงไม่ค่อยนิยมกัน
- การชำ เป็นที่นิยมสำหรับผู้เพาะพันธ์พืชเพื่อจำหน่ายในปัจจุบัน (ไม่ใช่พืชทุกชนิดจะเพาะชำได้) การชำเชอร์รี่ทำได้ง่ายมาก ใช้กิ่งเล็กกว่าการตอน หนึ่งกิ่งมาตัดย่อยๆ ชำได้หลายต้น ทำเป็นปริมาณมากๆ เพื่อการจำหน่ายได้
- การเลี้ยงเนื้อเยื่อ วิธีนี้ต้องทำในห้องปฏิบัติการ ต้องมีความรู้พอควร และทำเป็นปริมาณมากๆ ได้ เพียงแต่ต้นทุนสูง ไม่สามารถแข่งขันได้
- นอกจากนั้นก็ยังมีการทาบกิ่ง เสียบยอด ติดตา ซึ่งเราคง DIY ยากหน่อย ต้องเป็นมืออาชีพที่ชำนาญพอดูจึงจะทำได้
1. กาเตรียมวัสดุสำหรับเพาะชำ
ใปัจจุบันมีวัสดุสำหรับเพาะชำขายทั่วไป แต่ที่อยากจะแนะนำคือขี้เถ้าแกลบดำ เพราะหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายต้นไม้/วัสดุการเกษตร ราคาก็ถูกมากเริ่มต้นประมาณถุงละ 10 - 20 บาท (ถุงเล็ก) เฉลี่ย กก. ละ 4 บาท หากซื้อมากเป็นกระสอบก็จะถูกกว่านี้ ภาชนะที่จะใช้ในการชำไม่ต้องซื้อ ใช้แก้วน้ำพลาสติกขนาดสัก 16 ออนซ์ หรือสูงประมาณ 6 - 8 นิ้ว ล้างให้สะอาด เจาะก้นให้เป็นรูๆ หรือใช้ใบมีดคัตเตอร์กรีดก้นให้ทะลุเป็นรูปกากะบาด เพื่อให้น้ำไหลออกได้ นำขี้เถ้าแกลบใส่ในแก้วพลาสติกให้เต็ม รดน้ำให้ชุ่ม ใช้มือกดแกลบในแก้วให้แน่นพอประมาณ รดน้ำให้ท่วมแก้วอีกครั้งแล้วปล่อยให้น้ำไหลออกจากแก้วจนหมด ก็พร้อมที่จะใช้ได้แล้ว
2. กาตตัดกิ่งสำหรับการชำ
ให้เลือกกิ่งที่แก่พอเหมาะแก่การชำ โดยสังเกตุจากสีของกิ่งซึ่งจะเป็นสีน้ำตาล ขนาดกิ่งประมาณ 5 มม. ตัดเป็นท่อนๆ ยาวท่อนละประมาณ 5 - 6 นิ้ว หรือสังเกตุจากใบคู่ ให้ยาวประมาณ 5 - 6 ใบคู่ เด็ดใบใบด้านล่างทิ้งสัก 2 - 3 คู่ (ดังรูปที่ 1) ทำให้เหลือใบคู่ด้านบนประมาณ 2 - 3 คู่ เมื่อชำขึ้นแล้ว กิ่งใหม่จะแตกออกตามข้อใบเหล่านี้ อนึ่งมีดหรือกรรไกรที่ใช้ตัดกิ่งเชอร์รี่นั้น ต้องคม สะอาดและแห้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อราได้ การตัดต้องตัดทีเดียวให้ขาด รอบๆ รอยตัดต้องไม่ช้ำ
3. การชำ
การชำนั้นง่ายเกินคาด นำกิ่งเชอร์รี่ที่เตรียมไว้ ปักลงในแก้วขี้เถ้าแกลบเตรียมที่เตรียมมาก่อนหน้านั้น ปักให้จมลงไปอย่างน้อย 2 นิ้ว หรือให้ถึงโคนใบคู่ (ดูรูปที่ 2) การปักให้ปักลงทีเดียว ไม่ดึงเข้า-ออกหลายครั้ง ใช้มือกดขี้เถ้าแกลบบริเวณโคนกิ่งให้แน่นพอประมาณ จากนั้นนำแก้วกิ่งชำนี้ไปใส่ในถุงพลาสติกสีใสหรือขุ่นก็ได้ ควรให้ใสหน่อยเพื่อให้แสงผ่านได้และจะได้มองเห็นง่ายเมื่อรากเริ่มงอก ปิดปากถุงให้แน่น (ดูรูปที่ 3) นำถุงไปตั้งหรือแขวนไว้ในร่ม ห้ามโดนแดด
![]() |
![]() |
![]() |
รูปที่ 1 | รูปที่ 2 | รูปที่ 3 |
4. ระยะเวลาการชำ
ในระหว่างรอให้รากงอก อย่าให้ถุง/กิ่งชำนั้นสะเทือน ห้ามแกะถุงออกมาดู ใช้เพียงการสังเกตุจากภายนอกก็พอ หากผ่านไป 3 สัปดาห์แล้วใบเชอร์รี่ยังเขียวอยู่และใบไม่ร่วง การชำนั้นก็สำเร็จค่อนข้างแน่นอนแล้ว หากใบร่วงก็ทิ้ง/ชำใหม่ได้เลย หลังจาก 4 สัปดาห์ให้สังเกตุรอบๆ แก้ว จะเห็นรากสีขาวเป็นเส้นๆ (หากรากเริ่มเป็นสีเหลืองอ่อนแสดงว่าต้องนำไปปลูกแล้ว) รอต่ออีกสัก 2 - 3 สัปดาห์ รากจะมีมากขึ้น ก็นำไปปลูกได้ รวมแล้วใช้เวลาประมาณ 6 - 8 สัปดาห์
5. การนำไปปลูก
สำหรับมืออาชีพที่ทำเป็นปริมาณมากๆ เขาจะแยกกิ่งชำออกจากขี้เถ้าแกลบ นำไปล้างน้ำ และนำไปเพาะเลี้ยงต่อในกระถางอนุบาลต่อไป แต่สำหรับเรา DIY ง่ายกว่านั้น เมื่อแกะถุงออก ให้คว่ำแก้วเทขี้เถ้าแกลบและกิ่งชำออกมา ให้เป็นรูปแก้วไม่กระจัดกระจาย นำไปใส่กระถางปลูกได้เลย ใจเย็นๆ หมั่นรดน้ำ รอดูต่อไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ใบไม่เหลือง/ร่วง แสดงว่ายังไม่ตาย ประมาณ 3 - 4 สัปดาห์หลังจากนั้น จะเริ่มแตกกิ่งออกออกจากข้อใบข้อใดข้อหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งข้อก็ได้ (ดูรูปที่ 4) เลี้ยงต่อไปเรื่อยๆ (ช่วงนี้จะโตเร็วมาก) รดน้ำต่อไปจนกระทั่งสูประมาณ 1 เมตร (ดูรูปที่ 5) ก็นำไปปลูกลงดินได้ อนึ่งตอนที่แตกกิ่ง กิ่งก้านจะแผ่กระจาย ควรหาเชือกมัดกิ่งเข้าด้วยกัน บังคับให้ลำต้นสูงชะลูดดังรูปที่ 5 ลำต้นจะได้สูงตรงสวยงาม (หากกิ่งแก่แล้วจะดัดยากมาก)
![]() |
![]() |
![]() |
รูปที่ 4 | รูปที่ 5 | รูปที่ 6 |
พอปลูกเไปได้ประมาณ 1 ปีเศษ ก็จะสูงประมาณ 3 เมตร (ดูรูปที่ 6) หากรดน้ำใส่ปุ๋ยให้ดี ก็จะเริ่มออกดอกออกผลได้ ในภาพต้นนี้ออกดอกเป็นสีชมพูสวยงามมาก ติดลูกแรกหลังจากปลูก 1 ปี 1 เดือนพอดี วิธินี้ง่านสำหรับ DIY ลองทำดู คุณก็ทำได้แน่นอน